สลายต้อกระจก

Cataract Surgery

ต้อกระจกและการผ่าตัดฝังเลนส์แก้วตาเทียม

ถาม-ตอบเกี่ยวกับโรคต้อกระจกและการรักษา

ต้อกระจก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cataract เกิดจากการที่เลนส์แก้วตาของเราเสื่อมไปตามอายุ เลนส์แก้วตาจะมีลักษณะแข็งตัว ไม่ยืดหยุ่นได้ดีเหมือนก่อน และมีสีที่ขุ่นมัวลง จึงทำให้แสงผ่านเข้าไปในตาเราได้ไม่ดีเหมือนเดิม ดังนั้นการใส่แว่นสายตาก็จะไม่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น

ต้อกระจกเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการตามัว ในคนที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ประมาณ 70% ของคนที่อายุมากกว่า 75 ปีจะเป็นต้อกระจก

ต้อกระจกส่วนใหญ่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่ออายุเรามากขึ้น เหมือนกับที่เรามีผมหงอก แสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากแสงแดด การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ทำให้มีโอกาสเป็นต้อกระจกได้มากขึ้น บางครั้ง ต้อกระจกอาจจะเป็นผลจากการได้รับบาดเจ็บที่ตา โรคเบาหวาน หรือการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน

คนไข้ที่เป็นต้อกระจกอาจมีอาการ

  1. ตามัว
  2. มองเห็นภาพซ้อน
  3. มองเห็นแสงรอบดวงไฟ
  4. มองเห็นสีของวัตถุเปลี่ยนไป
  5. ภาพที่เห็นมืดลง ถึงแม้จะอยู่ในที่สว่าง
  6. ต้องใข้ความพยายามในการอ่านหนังสือมากขึ้น อาจจะอ่านได้ไม่นานก็ต้องหยุด
  7. มองเห็นระยะใกล้ได้ชัดขึ้น คนที่เคยต้องใส่แว่นอ่านหนังสือต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย หรือไม่ต้องใช้แว่นอีก

อาการอาจจะค่อยๆแย่ลงโดยใช้เวลาเป็นปี หรือแย่ลงเร็วภายในไม่กี่เดือน คนที่เป็นต้อกระจกจะไม่มีอาการเคืองตา ปวดตา ตาแดง หรือน้ำตาไหล

  • ใส่แว่นกันแดด การใส่แว่นกันแดดที่สามารถป้องกันแสง UV ได้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก เนื่องจากแสงอุลตราไวโอต (UV) ในแสงแดด มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระซึ่งสามารถทำลายเลนส์แก้วตา ซึ่งนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้ในที่สุด
  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • งดสูบบุหรี่ ทั้งการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก็อาจก่อให้เกิดการทำลายเลนส์แก้วตาจากสารอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
  • ใส่แว่นกันแดด การใส่แว่นกันแดดที่สามารถป้องกันแสง UV ได้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก เนื่องจากแสงอุลตราไวโอต (UV) ในแสงแดด มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระซึ่งสามารถทำลายเลนส์แก้วตา ซึ่งนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้ในที่สุด
  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • งดสูบบุหรี่ ทั้งการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก็อาจก่อให้เกิดการทำลายเลนส์แก้วตาจากสารอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

ในอดีต จักษุแพทย์มักจะแนะนำให้รอจนกว่าต้อกระจกจะทำให้การมองเห็นคนไข้แย่ลงค่อนข้างมากก่อน จึงจะแนะนำให้ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตา แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากเทคนิคการผ่าตัดต้อกระจกได้มีการพัฒนาจนก้าวหน้าขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก จนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการผ่าตัดที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด เพราะฉะนั้นเพียงแค่เมื่ออาการของต้อกระจกเริ่มจะรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้ และคุณหมอประเมินแล้วเห็นสมควร คุณหมอก็จะแนะนำให้พิจารณาผ่าตัดได้แล้ว ไม่ต้องรอให้เป็นมาก หรือที่เรียกกันว่า “ต้อสุก” เหมือนสมัยก่อน ต้อกระจกจะไม่ดีขึ้นเอง มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าคนไข้เริ่มมีอาการ จึงไม่มีข้อดีอะไร ในการที่จะเราจะยืดระยะเวลาการรักษาออกไป

ต้อกระจกจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกิดปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือเป็นต้นเหตุให้เกิดอันตรายได้ เช่น อุบัติเหตุจากการขับรถ ในที่สุดอาจจะเป็นมากจนตาบอด ถ้ารอจนต้อกระจกเป็นมากๆแล้วค่อยผ่าตัด จะทำให้การผ่าตัดยาก และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงขึ้น

ในการผ่าตัดรักษาต้อกระจก คุณหมอจะเจาะรูเล็กๆ ทำการ”สลาย”เลนส์แก้วตาธรรมชาติของคนไข้ที่เสื่อมสภาพลงแล้ว ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (phacoemulsification) หลังจากนั้นก็จะทำการ”ใส่”หรือ”ฝัง”เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่อย่างถาวร

การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่การผ่าตัดต้อกระจกถือว่าปลอดภัยมาก ถ้าอยู่ในมือจักษุแพทย์มีประสบการณ์ โอกาสที่จะเกิดปัญหารุนแรงมีน้อยมาก เกือบ 98-99% ของคนไข้จะมองเห็นชัดเจนขึ้นหลังการผ่าตัด ถ้าคนไข้ไม่มีโรคตาชนิดอื่นอยู่

  • การผ่าตัดต้อกระจกด้วยเลเซอร์ (Femtosecond Laser-Assisted Cataract Surgery) เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งมีการนำมาใช้ในการผ่าตัดต้อกระจก โดยคุณหมอจะใช้เลเซอร์แทนใบมีดในการเปิดแผลที่กระจกตาและถุงหุ้มเลนส์แก้วตา ส่วนการสลายเลนส์แก้วตายังคงใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (phacoemulsification) เหมือนเดิม
  • ข้อดีคือ มีความแม่นยำในการเปิดแผลมากกว่าการใช้ใบมีด
  • ข้อเสียคือ ในขณะนี้ราคาของเครื่องเลเซอร์ค่อนข้างสูง ทำให้ค่าใช้จ่ายของคนไข้สูงขึ้นด้วย และเครื่องยังไม่ได้มีใช้อย่างแพร่หลายมากนัก

ในปัจจุบัน เลนส์แก้วตาเทียมมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่

  1. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสได้ระยะเดียว (Monofocal Lens)
  2. เลนส์แก้วตาเทียมสำหรับผู้มีสายตาเอียง (Toric Lens)
  3. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสได้หลายระยะ (Multifocal Lens)

เป็นเลนส์แก้วตาเทียมที่ใช้กันทั่วไปมานานที่สุด และมีราคาถูกที่สุด เลนส์มีระยะโฟกัสเดียว จะเป็นระยะ ไกล กลาง หรือใกล้ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คนไข้ส่วนมากมักจะเลือกที่จะมองเห็นไกลชัด และใส่แว่นสายตาเวลาที่ต้องอ่านหนังสือหรือทำงานที่ต้องมองระยะใกล้ๆ ในกรณีที่คนไข้มีสายตาเอียงอยู่แล้ว ก็อาจจะต้องใส่แว่นตาตลอดเวลา

สายตาเอียงเกิดจากคนไข้มีความโค้งของ”กระจกตาที่ผิดปกติ เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนี้จะแก้ไขปัญหาสายตาเอียงได้ แต่คนไข้ก็ยังจะต้องใส่แว่นตาเพื่ออ่านหนังสือหรือมองระยะใกล้อยู่

คือเลนส์แก้วตาเทียมที่ช่วยให้คนไข้มองเห็นได้ชัดเจนทุกระยะ ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตาอีกเลยหลังจากผ่าตัดต้อกระจก เหมาะกับคนไข้ที่อายุยังน้อย ยัง active หรือคนที่ไม่ต้องการจะต้องใช้แว่นสายตาอีก

วิธีเลือกชนิดเลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่ดีที่สุดก็คือ เลือกใช้เลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่มีคุณสมบัติที่เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด ซึ่งคุณหมอตาจะช่วยแนะนำคุณได้ หมอแนะนำว่าอย่าดูแต่เรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อจำกัดของเลนส์แต่ละชนิด รวมทั้งลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้แต่ละคนเป็นหลักด้วย อย่าลืมว่าเลนส์แก้วตาเทียมจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงตาของเราอย่างถาวรไปตลอดชีวิต (เปลี่ยนใหม่ก็อาจจะพอทำได้แต่ไม่ค่อยมีใครทำกันยกเว้นจะจำเป็นจริงๆ) เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่อาจจะสูงขึ้น กับคุณภาพชีวิตที่จะดีขึ้นในอีกหลายๆปีข้างหน้า แล้วนำมาคิดพิจารณา ตัดสินใจให้ถี่ถ้วนค่ะ

วิธีเลือกชนิดเลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่ดีที่สุดก็คือ เลือกใช้เลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่มีคุณสมบัติที่เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด ซึ่งคุณหมอตาจะช่วยแนะนำคุณได้ หมอแนะนำว่าอย่าดูแต่เรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อจำกัดของเลนส์แต่ละชนิด รวมทั้งลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้แต่ละคนเป็นหลักด้วย อย่าลืมว่าเลนส์แก้วตาเทียมจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงตาของเราอย่างถาวรไปตลอดชีวิต (เปลี่ยนใหม่ก็อาจจะพอทำได้แต่ไม่ค่อยมีใครทำกันยกเว้นจะจำเป็นจริงๆ) เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่อาจจะสูงขึ้น กับคุณภาพชีวิตที่จะดีขึ้นในอีกหลายๆปีข้างหน้า แล้วนำมาคิดพิจารณา ตัดสินใจให้ถี่ถ้วนค่ะ

ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดต้อกระจกมีตั้งแต่จ่ายส่วนเกินไม่กี่พันบาทจากการสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิ 30 บาท หรือสิทธิประกันสังคม ไปจนถึงหลักหลายหมื่นหรือมากกว่าหนึ่งแสนบาท ซึ่งขึ้นกับหลายปัจจัย

  • ปัจจัยแรกสุดคงเป็นเรื่องของสถานที่ผ่าตัดว่าเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล คลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชน
  • ปัจจัยถัดมาเป็นเรื่องของคุณภาพและชนิดของเลนส์แก้วตาเทียมที่ใช้ เช่น ถ้าใช้เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสหลายระยะหรือเลนส์ชนิดแก้สายตาเอียง ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น (แต่ก็จะแลกมากับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น)

หรือถ้าเลือกที่จะผ่าตัดต้อกระจกด้วยเลเซอร์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน

เลนส์แก้วตาเทียมสามารถใช้งานไปได้จนตลอดชีวิต ไม่มีการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ

การผ่าตัดมักจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ส่วนมากจะเร็วกว่านั้น

คนไข้จะใช้เวลาพักฟื้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังผ่าตัด หลังจากนั้นสามารถกลับบ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล

หลังจากผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียมแล้ว คนไข้จะไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นต้อกระจกได้อีกแล้ว แต่ถุงหุ้มเลนส์ตามธรรมชาติที่ยังคงมีอยู่อาจจะมีลักษณะขุ่นขึ้น ทำให้คนไข้มีอาการตามัวได้ ปัญหาถุงหุ้มเลนส์ขุ่นสามารถรักษาได้โดยการใช้ YAG laser ไม่ต้องผ่าตัด

แม้ว่าการผ่าตัดสลายต้อกระจกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมใหม่ซึ่งมีความใสมากเข้าไปแทนที่เลนส์แก้วตาธรรมชาติที่มีสีขุ่นมัวลง จะทำให้คนไข้มองเห็นชัดเจนขึ้น แต่โดยปกติเวลาเรามองระยะใกล้ เลนส์แก้วตาของเราจะต้องป่องนูนออกมากขึ้นเพื่อเป็นการปรับระยะโฟกัส เมื่อเราอายุมากขึ้น เลนส์จะไม่ยืดหยุ่นเหมือนสมัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการสายตายาวในผู้สูงอายุ (Presbyopia) เลนส์แก้วตาเทียมแบบปกติทั่วไปซึ่งมีระยะโฟกัสเพียงแค่ระยะเดียว จึงไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาสายตายาวในผู้สูงอายุได้ คนไข้ก็มักจะยังจำเป็นที่จะต้องใช้แว่นอ่านหนังสืออยู่ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาเลนส์แก้วตาเทียมที่สามารถแก้ไขได้ทั้งป้ญหาสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียงที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และสายตายาวในผู้สูงอายุได้

คือการผ่าตัดต้อกระจกและฝังเลนส์แก้วตเทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ ทำให้คนไข้ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นอ่านหนังสืออีกต่อไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการใส่แว่นอ่านหนังสือหรือคอนเทคเลนส์ และใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง

ในปัจจุบัน ยังไม่มียา สมุนไพร วิตามิน หรืออาหารเสริมอะไร ที่สามารถจะรักษาต้อกระจกได้ การผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่เลนส์แก้วตาธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้คนไข้กลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง ต้อกระจกจะไม่ดีขึ้นเอง มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ จึงไม่มีข้อดีอะไร ในการที่จะยืดระยะเวลาการผ่าตัดออกไป

ถึงแม้ว่าการทำลายเลนส์แก้วตาจากสารอนุมูลอิสระ (antioxidants) จะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดต้อกระจก แต่ก็ยังไม่เคยมีหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ว่า การที่เรากินยา หรือสารต้านอนุมูลอิสระ จะสามารถช่วยชะลอหรือป้องกันการเกิดต้อกระจกได้